You are not logged in.
Pages: 1
กว่าจะตั้งได้ชื่อกระทู้ยาวเกิน...
อาจารย์ ม.ศิลปากรออกข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ประชาไท – 19 ก.ค. 50 รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับบันทึกจาก ผศ.ดร. มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ์ รักษาราชการแทนคณบดีคณะอักษรศาสตร์ ที่ศธ 0520. 202/ ลงวันที่ 16 ก.ค. 2550 เรื่อง ขอเอกสารกระดาษคำตอบและคะแนนรายวิชาอารยธรรมไทย โดยระบุว่า
"ด้วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ได้ขอให้คณะอักษรศาสตร์ส่งเอกสารกระดาษคำตอบรายวิชาอารยธรรมไทยพร้อมคะแนนที่ให้แก่นักศึกษาในการตอบคำถามแต่ละข้อ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 ถึงปัจจุบัน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะฯ จึงขอเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอให้ท่านส่งเอกสารดังกล่าวให้คณะฯ ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 เพื่อจะได้ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนต่อไป"
ผศ. บุญส่ง ได้ให้สัมภาษณ์ 'ประชาไท' ว่า น่าแปลก อยู่ดีๆ ข้อสอบหลุดไปได้อย่างไร เพราะการขอดูข้อสอบ ต้องขออย่างเป็นทางการ โดยทำบันทึกถึงคณบดี ขออนุญาตเจ้าของวิชาก่อน เพราะถือเป็นลิขสิทธิ์ และต้องบอกเหตุผลว่าจะนำไปทำอะไร ตัวผู้ออกข้อสอบเองก็มีสิทธิจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ด้วย ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่เอาไปให้ก็มีความผิด หรืออาจทำได้ก็โดยผู้บริหารเอาให้ ซึ่งในที่นี้ก็คือคณบดี
สำหรับการออกข้อสอบนั้น ผศ.บุญส่ง เห็นว่า แกนของระบอบประชาธิปไตยคือ สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในที่สาธารณะต้องได้รับความเคารพอยู่แล้ว ยิ่งในทางวิชาการถ้าไม่มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น จะทำลายหลักอุดมศึกษา การสอนในมหาวิทยาลัยต้องมีการวิเคราะห์ ตั้งคำถาม และวิพากษ์ เพื่อฝึกฝนให้นักศึกษาคิดเป็น มีวิจารณญาณของตัวเอง เพื่อให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ถ้าแม้แต่สิทธิเสรีภาพทางวิชาการไม่มี จะสร้างสังคมอุดมปัญญาได้อย่างไร
"เราต้องทำความเข้าใจกับปรากฎการณ์ เพราะปรากฎการณ์ต่างๆ สะท้อนพฤติกรรมทางสังคม ลักษณะโครงสร้างสังคม การปะทะกันทางอำนาจของกลุ่มทางสังคมต่างๆ หัวข้อพวกนี้ ต้องวิเคราะห์ในการเรียนการสอน ปรากฎการณ์เสื้อเหลือง ดูเฉยๆ ไม่ได้ ในการเรียนการสอนต้องเอามาวิเคราะห์ว่าสะท้อนถึงอะไร"
ผศ.บุญส่งกล่าวอีกว่า การพูดถึงปรากฏการณ์เสื้อเหลืองเป็นคนละเรื่องกับการวิจารณ์สถาบัน การเอาสถาบันมาโจมตีทำลายผู้อื่น ขณะที่สถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพในฐานะประมุขทางวัฒนธรรม น่าจะเป็นปรากฎการณ์ที่คนในสังคมไม่ยอมรับกัน
อย่างไรก็ตาม ผศ.บุญส่ง ระบุว่า การกระทำครั้งนี้น่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง โดยเมื่อปลายปีก่อน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วินัย ผู้นําพล เคยยื่นเรื่องไปยังคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกระบุว่า ตนกับ รศ.พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล ทำการสอนที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งคุณหญิงไขศรีได้ส่งเรื่องให้นายชุมพล ศิลปอาชา นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งก็ได้ส่งต่อให้กับรศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร (ในขณะนั้น) โดย รศ.พรเพ็ญได้ชี้แจงกับอธิการบดีว่า แม้เธอจะมีชื่ออยู่ในเค้าโครงการสอนในวิชาเดียวกับเขา แต่เทอมนั้นเธอไม่ได้สอน ซึ่งอธิการบดีเข้าใจและมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันจึงยุติเรื่องไป
ผศ.บุญส่ง เล่าว่า ก่อนหน้านี้ ในการสรรหาคณบดีอักษรศาสตร์คนใหม่ ตนเองและอาจารย์อื่นๆ ได้เคยยื่นบันทึกคัดค้านคุณสมบัติของคณบดีอักษรศาสตร์คนก่อนซึ่งมีทีท่าว่าอาจจะดำรงตำแหน่งต่อ โดยใช้หลักฐานเรื่องความไม่โปร่งใสและไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหาร ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกำลังตรวจสอบอยู่ นอกจากนี้แล้ว ตนเคยมีข้อพิพาทกับ ผศ.วินัย ผู้นำพล ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า ผศ.วินัย เบิกหมึกเพื่อใช้ในงานส่วนตัว เป็นราคาประมาณ 50,000 กว่าบาทโดยไม่ต้องมีตลับหมึกมาให้ดู ซึ่งอดีตคณบดีเป็นผู้อนุมัติ
ผศ.บุญส่ง กล่าวว่า ในวันที่ 19 ก.ค.จะสอบถามไปยังรักษาการคณบดีคณะอักษรศาสตร์ว่า เหตุใดเมื่อได้รับการขอกระดาษคำตอบจึงอนุญาตทันที ทั้งที่ที่ผ่านมา เคยมีกรณีนักศึกษาขอดูข้อสอบและการให้คะแนนของผู้สอนเนื่องจากไม่มั่นใจการให้คะแนนของผู้สอน ยังต้องมีการประชุมกันเพื่อพิจารณา และเมื่อมีการอนุญาตก็ให้เพียงดูได้ในห้อง ห้ามนำออกไป นอกจากนี้ เขายังตั้งคำถามด้วยว่า การกระทำเช่นนี้ ได้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับนักศึกษาหรือไม่ จะเป็นการละเมิดสิทธิของนักศึกษาหรือไม่
เครดิต : http://www.suanboard.net/view.php?p=view&kid=40021 , http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8899&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
อยากรู้ข้อสอบเป็นยังไงคิดไปดูบอร์ดสวนเองนะจ๊ะ
เอ่อ..แต่ละข้ิอ
no commentค่ะ...
Offline
เป็นสิ่งที่น่าเศร้าสำหรับเสรีภาพทางการศึกษา คำถามในข้อสอบนั้นไม่น่าเข้าข่าย (ผมไม่ใช่ทนาย เป็นความเห็นส่วนตัว) ถ้าพวกเราไม่สามารถตั้งคำถามและเสวนาสภาพสังคมของเราเอง แล้วเราจะเข้าใจมันได้อย่างไร
การศึกษาในระดับอุดมศึกษา เน้นการคิดวินิจฉัยไม่ใช่เหรอ ตั้งข้อสงสัยและสมมติฐาน การวิจัยและสนทนา ไม่ใช่การท่องจำอย่างนกขุนทองตาบอดที่ไม่รู้ดี ไม่รู้จักคิด แล้วความรู้ใหม่ๆ ความเจ้าใจใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ส่วนการ "เล่นสกปรก" เป็นอีกเรื่องหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรภายในหน่วยงานราชการที่เต็มไปด้วยการฉ้อราษฏร์บังหลวง ความไร้ประสิทธิภาพ และ ขาดความรับผิดชอบในการใช้งบประมาณ จากระดับจนถึงระดับสูงสุด เช่น การไป "ศึกษางาน" ณ ต่างประเทศ ที่ส่วนมากกลายเป็นการไปเที่ยวเพื่อความสนุกส่วนตัว จากประสบการณ์การทำงานราชการในต่างประเทศแล้ว ระบบราชการในประเทศไทยยังต้องพัฒนาอีกมากถ้าประเทศชาติจะก้าวหน้าจากวังวนแห่งความเสื่อมถอย
Offline
เท่าที่อ่านเราเข้าใจว่านั่นเป็นแค่การตั้งข้อหาไม่ใช่หรอ
คล้ายๆกับว่ามีคนไปแจ้งความ ตำรวจก็ต้องสอบสวน
ส่วนจะถูกหรือผิดก็ต้องให้ศาลตัดสิน
แต่ในความรู้สึกเรานะ เรารู้สึกว่าคำถามเขาหมิ่นเหม่ไปหน่อยอ่ะ
แม้ว่าเจตนาจะไม่ได้หมิ่นเบื้องสูงก็ตาม
แต่แวบแรกที่อ่านคำถามมันก็รู้สึกเหมือนว่าไม่ต้องการให้มีหรือว่าไม่สำคัญ
ก็ต้องดูกันต่อไป
Offline
ใช่ เป็นการตั้งข้อหา ในความคิดของผมไม่น่าจะตั้งข้อหาขึ้นมาตั้งแต่แรก เหมือนตั้งเพื่อก่อเรื่องมากกว่า ถ้าศาลตัดสินว่าผิดก็คงจะน่าเศร้ามากสำหรับ academic freedom ในประเทศไทย กฎหมายนี้เหมือนมีไว้จัดการศัตรูทางการเมืองมากกว่าปกป้องสถาบัน แต่ก็ฝันไปเถอะ แตะต้องไม่ได้ แม้แต่การไม่เห็นด้วยกับกฎนี้ ก็อาจถือว่าเป็นการหมิ่นฯ ได้ กลายเป็นหัวข้อ taboo ที่คนพูดคุยกันใต้ดิน หรือว่าข่าวลือดีกว่าข่าวเปิด
Offline
Pages: 1