You are not logged in.
ได้เจอบทความดี ๆ เลยเอามาให้อ่านกัน ;p
=======
ช่วงนี้กระแสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มาแรง ผมเลยโหนกระแสหน่อยนึงครับ
สี่วันก่อน เพิ่งทำ Nasopharyngeal swab ตรวจเด็กเซนต์กาเบรียลไปคนนึง (เอาไม้จิ้มจมูก)
เมื่อคืนวานซืนตรวจ Pharyngeal swab ตรวจไปอีกคน (เอาไม้จิ้มคอแล้วกวาดๆ)
แล้วก็ตรวจอีก20กว่าคนที่มาด้วยความกลัวไข้หวัดใหญ่2009 (ส่วนคนอื่นอยู่เวรกลางวันก็โดนไปคนละ40-50คน)
และตอนนี้ผมกำลังมีไข้ 38นิดๆ -_-' ... ตอนนี้เริ่มไอแล้ว และคนที่บ้านก็เริ่มติดกันไปแล้ว
เนื่อง จากช่วงนี้เห็นว่าโทรทัศน์หนังสือพิมพ์วิทยุได้รายงานเรื่องราวเกี่ยวกับไข้ หวัดนี้มากมายหากแต่ว่าการรายงานข่าวที่ออกมาก็ไม่ครบถ้วนพอที่จะทำให้คน เข้าใจได้ ประกอบกับบางสื่อยิ่งรายงานคนยิ่งตื่นตระหนก ผมเลยลองพยายามเอาเรื่องไข้หวัดนี้มาอธิบายครับ
เอาเป็นว่านี่คือการพูดคุยชิวๆเรื่องข้อเท็จจริงแบบที่จะอิงภาษาวิชาการให้น้อยที่สุดครับ เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกัน
1. เชื้อH1N1 มันใหม่ยังไง เห็นในwikiว่าตัวที่ฆ่าคนตายเป็นล้านๆเมื่อก่อนก็คือ H1N1 นี่นา
Spanish flu เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ฆ่าพลเมืองของโลกไปประมาณ 5% หรือประมาณ 50-100ล้านคน ในช่วงปี 1918-1919
ไข้ หวัดใหญ่ตัวนี้คือเชื้อ Influenza A H1N1 ... ซึ่งบางคนสังเกตว่ามันคือเชื้อเดียวกันกับเชื้อที่ออกข่าวในตอนนี้ เลยกังวลว่ามันจะร้ายแรงและน่ากลัวมาก
จริงๆถ้าจะให้ตอบ มันคือเชื้อคนละตัวกับตอนนั้นครับ
คำว่า Influenza A หมายถึงเชื้อไวรัสในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งมีโครงสร้างหลักทั่วไปเหมือนกัน
ความแตกต่างของแต่ละตัวจะอยู่ที่ส่วนที่เรียกว่า H hemagglutinin และ N neuraminidase
โดยรูปแบบของ H ในไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีอยู่ 16 แบบ และรูปแบบของ N จะมีอยู่ 9 แบบ
ถ้า พูดแบบหยาบๆ ตัวเลขของ H และ N เป็นการจำแนกตามแบบอย่างหยาบๆครับ ดังนั้นไวรัสเมื่อร้อยปีก่อนกับตัวปัจจุบัน แม้ว่าจะมีชื่อที่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความเหมือนที่ภายนอกเท่านั้น คุณสมบัติด้านความร้ายแรงไม่สามารถนำมาเทียบกันได้แบบ100%
ถ้าจะให้ เปรียบก็เหมือนเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมครับ ... H1 ก็คือกางเกงน้ำตาล H2 คือกางเกงดำ H3 คือกางเกงแดง ...และ N1 คือรองเท้าหนังสีดำ N2คือรองเท้าผ้าใบสีดำ ฯลฯ
ดังนั้นไข้หวัดสเปน H1N1 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำ
และไข้หวัด 2009 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำ เหมือนกัน
ต่างกันที่ว่าเจ้าไข้หวัดสเปน เป็นเด็กนักเรียนที่พกปืนในกระเป๋า ส่วน2009มันแค่พกสนับมือเท่านั้น
Last edited by - T o r r e S - (2009-06-16 22:45:19)
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
2. องค์การอนามัยโลกประกาศระดับpandemicขั้นที่ 6 หมายความว่ามันเป็นโรคที่ร้ายแรงอันตรายถึงตายใช่ไหม
ความเข้าใจผิดอย่างนึงที่ได้ยินบ่อยคือ การที่ออกมาประกาศขั้นที่ 6 คือการบอกว่าโรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงถึงตาย อันตรายมากๆ
คำ ว่า Pandemic คือการที่ 1. มีโรคเกิดขึ้นใหม่ในประชากร 2.เป็นโรคในมนุษย์และสามารถก่อโรคที่รุนแรงได้ และ3.เป็นโรค"ติดต่อ"ที่กระจายไปในประชากรต่อไปได้เรื่อยๆ
ที่ผ่านมา ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เราเจอกันคือสายพันธุ์เก่าที่ประชากรส่วนหนึ่งมีภูมิ คุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่"ใหม่"กับประชากร ... และเมื่อมันติดต่อไปได้สักพักแล้วไปเจอคนที่มีภูมิคุ้มกัน มันก็"ไม่กระจายต่อ" ดังนั้นมันก็ไม่ถือเป็น Pandemic
ในทางทฤษฎีไข้หวัดใหญ่ที่เรากลัวกันก็คือไข้หวัดใหญ่ที่มาจากสัตว์ครับ เพราะว่าพวกนี้มีองค์ประกอบครบได้คือ
1. มันเป็นของสัตว์ จึงใหม่ต่อมนุษย์
2. ไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่สามารถทำให้คนตายได้ ... แต่จะมากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่อง
3. และถ้ามันติดต่อจากคนสู่คนได้เมื่อไหร่ มันก็จะแพร่กระจายได้
Pandemic Alert ขององค์การอนามัยโลกเลยประกอบไปในส่วนการเฝ้าระวังทั้ง 6 ระดับนั่นคือ
Phase 1 no viruses circulating among animals have been reported to cause infections in humans
เจอ ไวรัสที่เป็นชนิดใหม่ๆ แต่ไม่สามารถติดมาคนได้ ... อย่างกรณีไข้หวัดนกที่ผ่านมา มีการระวังและเสนอการทำลายนก+ไก่ตั้งแต่ยังไม่มีการติดต่อมาสู่คน
Phase 2 an animal influenza virus circulating among domesticated or wild animals is known to have caused infection in humans
พบ คนที่ติดเชื้อจากสัตว์ ... การที่เชื้อมันข้ามมาคนได้ แปลว่ามันมีความสามารถในการก่อโรคในคน ดังนั้นมันมีความ"เสี่ยง"ที่จะกระจายจากคนสู่คน
Phase 3, an animal or human-animal influenza reassortant virus has caused sporadic cases or small clusters of disease in people, but has not resulted in human-to-human transmission sufficient to sustain community-level outbreaks.
เกิดการติดต่อในกลุ่มประชากรเล็กๆ ... ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อจากสัตว์มาคนเดี่ยวๆ หรือจากคนสู่คนที่สามารถคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ ... ระดับนี้คือระดับที่จะต้องระวัง เพราะขั้นนี้แปลว่าเชื้อนี้มีความสามารถในการแพร่กระจายได้หากไม่ควบคุมให้ ดี
Phase 4 is characterized by verified human-to-human transmission of an animal or human-animal influenza reassortant virus able to cause community-level outbreaks.
เกิด การแพร่กระจายในระดับชุมชน ... เช่นเจอว่าเป็นกันทั้งหมู่บ้าน หรือมีการระบาดในเมือง หรือแม้แต่การระบาดในประเทศหนึ่ง ... ถ้าจะปรับเป็นภาษาไทยก็อาจจะแปลว่าโรคระบาด หรือเท่าๆกับคำว่า Epidemic ในภาษาอังกฤษ
Phase 5 is characterized by human-to-human spread of the virus into at least two countries in one WHO region
เกิด การระบาดข้ามประเทศ แต่เป็นประเทศในเขตWHOเดียวกัน .... โดยถือกันว่าพรมแดนประเทศ คือส่วนที่มีการควบคุมการข้ามผ่านที่เข้มงวดมากกว่าภายในประเทศ ... ดังนั้นถ้ามันข้ามพรมแดนได้ก็มีความเสี่ยงที่ประเทศนั้นจะติดเชื้อโรคนี้ ทั้งประเทศได้
Phase 6, the pandemic phase, is characterized by community level outbreaks in at least one other country in a different WHO region
WHO region ถูกแบ่งได้คร่าวๆด้วยพรมแดนตามธรรมชาติ ... ดังนั้นหากมีประเทศที่อยู่กันคนละเขต(คนละทวีป) ติดต่อเชื้อนี้ได้ ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายในทวีปนั้นๆ และถ้ามันข้ามไปได้ 1 เขต ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายไปเขตอื่นที่ไม่ติดได้ นั่นแปลว่ามันมีความเสี่ยงที่จะติดต่อกระจายไปทั่วโลก
จะเห็นว่าทั้งหมดไม่ได้พูดถึงเรื่องความรุนแรงของโรคเลยนะครับ ... บอกแต่เรื่องการกระจายhttp://www.who.int/csr/disease/swineflu … index.html
linkที่เกี่ยวข้องครับ ... WHO บอกไว้ชัดแยกเรื่อง Pandemic Phase จาก Severity
Last edited by - T o r r e S - (2009-06-16 22:45:41)
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
3. ไหนหนังสือพิมพ์ออกข่าวปาวๆว่าหวัดมรณะ ... ถ้าบอกว่าของWHOไม่ได้บอกความรุนแรง แล้วอันไหนล่ะที่บอก
ใน ขณะที่ของ WHO บอกความเสี่ยงเรื่องการแพร่กระจาย ... ทางCDCหรือหน่วยควบคุมโรคของอเมริกา ก็มีเกณฑ์ความรุนแรงครับ โดยใช้ค่า CFR Case fatality ratio หรือค่าที่บอกว่า
หากมีคนไข้ที่ได้รับรายงานจำนวนเท่านี้ จะมีคนตายกี่เปอร์เซนต์
ไข้หวัดใหญ่ทั่วๆไปอยู่ในระดับ 1 คือ หากรายงานว่าเป็นไปสัก 1000 คน จะมีคนตายน้อยกว่า 1 คน (น้อยกว่า0.1%)
ไข้หวัดสเปนอยู่ในระดับ 5 คือหากรายงานว่าเป็น 1000คน จะมีคนตาย มากกว่า20 คน (มากกว่า2%)
จริงๆคำว่า CFR ก็คล้ายๆกับอัตราตายครับ แต่อาจจะไม่ตรงกันสักทีเดียว ...
ถ้าลองคิดคำนวณคร่าวๆจากข้อมูลจาก WHO
http://www.who.int/csr/don/2009_06_12/en/index.html
มีคนติดเชื้อตัวนี้ 29669 คน ซึ่งตายไป 145 คน จะอยู่ที่ 0.48 % .... จัดอยู่ในความรุนแรงระดับ 2
ซึ่งมีคนเสนอว่าเม็กซิโกตายเยอะผิดปกติ ดังนั้นหากตัดค่าที่รายงานจากเมกซิโกไป
มีคนติดเชื้อตัวนี้ 23428 คน ซึ่งตายไป 37 คน จะอยู่ที่ 0.15 % .... ก็จัดอยู่ในความรุนแรงระดับที่ 2 อยู่ดี
ก็ต้องไปดูที่มาของค่าตัวเลขครับ
Influenza หรือไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในอเมริกา ... จะมีการทำ Throat Swab ตรวจกันบ่อยๆ ... ใครไข้สูงครั่นเนื้อตัวเยอะๆหมอก็จับส่งตรวจ บางคนอาการไม่หนักมากก็ส่ง
แต่เจ้าไข้หวัด 2009 ในตอนนี้ยังเป็นระหว่างการระบาด การที่จะส่งมักจะทำในคนที่สงสัย โดยเฉพาะคนที่มีอาการหนัก ... ส่วนคนที่มีอาการน้อยจะไม่ได้ส่งเพราะว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรในช่วงระบาด ...
ดังนั้นตัวเลขคนที่เป็นไข้หวัด2009จริงๆน่าจะมากกว่านี้ครับ และหากตรวจทั้งหมด ผลที่ออกมานั้นคนที่ตายก็น่าจะมีสัดส่วนที่น้อยลงไปอีก
Last edited by - T o r r e S - (2009-06-16 22:48:03)
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
4. ตกลงวางใจได้ชิมิ
ไม่ได้ครับ
ที่จริงเรา มีโรคที่อาจจะถือว่าเป็น Pandemic หรือแพร่กระจายทั่วโลกหลายโรคทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น มาลาเรีย เอดส์ กับ วัณโรค แต่ว่าโรคเหล่านี้ถือว่าน่ากลัวน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เพราะสามสาเหตุคือ
1. ลักษณะการติดต่อ 2. ระยะเวลาที่ก่อโรค และ 3. การกลายพันธุ์
มาลาเรียกับเอดส์ ไม่ได้ติดต่อทางอากาศหายใจ ... แต่ไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางอากาศได้
วัณโรคและเอดส์ดำเนินโรคช้า ... แต่ไข้หวัดใหญ่ได้รับเชื้อแล้วสองสามวันก็ออกอาการ
ที่ สำคัญ วัณโรคและเอดส์ส่วนใหญ่เวลากลายพันธุ์จะกลายพันธุ์แบบชิวๆ คือแค่ดื้อยา ไม่ทำให้คนตายมากขึ้น ... แต่ไข้หวัดใหญ่เวลากลายพันธุ์จะเปลี่ยนจากความน่ากลัวแบบชิสุไปเป็นน่ากลัว แบบโดเบอร์แมน!
โรคจะน่ากลัวเมื่อมีการระบาดครับ เพราะการระบาดนั่นหมายความว่าจะเกิดโรคขึ้นพร้อมๆกัน เกิดคนป่วยจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ในแง่จิตใจก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่มั่นใจในสังคมได้มาก
จำนวนผู้ ป่วยที่มีมากและมีการออกข่าวในทำนองว่าระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้เต็ม ที่ จะเกิดการแก่งแย่งกันเพื่อให้ตนเองได้สิ่งที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด / รวมทั้งเกิดความขัดแย้งกดดันกับเจ้าหน้าที่ได้
รวมไปถึงขวัญกำลังใจของ เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่ในระบบต่างๆของรัฐ ที่หากมีสมาชิกในครอบครัวป่วยก็ย่อมจะต้องสนใจสมาชิกในครอบครัวก่อนงาน ทำให้ระบบของประเทศเกิดการสั่นคลอนได้
ไข้หวัดใหญ่2009ในตอนนี้ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ก่อการระบาดได้แต่ยังไม่มีความรุนแรงนัก ปัญหาคือเนื่องจากมันเป็นสายพันธุ์ใหม่ คนส่วนใหญ่เลยติดเชื้อนี้ได้ง่าย
(จาก http://www.who.int/csr/disease/swineflu … index.html ........ 2009 มีโอกาสติดต่อได้ประมาณ 22-33% ในขณะที่เชื้อเดิมอยู่ที่ 5-15%)
และความสามารถของไวรัสไข้หวัดใหญ่คือการปรับเปลี่ยนพันธุกรรม ทำให้มันกลายเป็นตัวใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมจะเกิดได้ ต้องมีโอกาสมากพอ ... หรือแปลง่ายๆคือ
ถ้ามันแพร่กระจายไปมากๆ มีคนติดเชื้อมากๆมันก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะเปลี่ยนไปเป็นพันธุ์ที่ร้ายแรงได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นตอนนี้ถ้ามันระบาดมากๆ ก็เสี่ยงครับ
หาก มันเปลี่ยนความรุนแรงขึ้น (ซึ่งเจอได้เสมอในเชื้อกลุ่มไวรัสไข้หวัดใหญ่) มันจะเปลี่ยนจากไข้หวัด 2009 ตัวหมูๆนี้ กลายเป็นหมูป่าcombo shot supernovaขึ้นมาทันที
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
มาที่เรื่องในประเทศของเราบ้างครับ
เอาแบบสถานการณ์จริง แบบไม่ใช้แสตนทฺ์อิน ไม่เอาสตันท์
ช่วงนี้ผมดูข่าวจากทีวีและหนังสือพิมพ์แล้วขัดใจมากครับ
สิ่ง ที่ข่าวบอก กับสิ่งที่การสาธารณสุขทำ มันไปคนละทางกัน .... และตามความเห็นผม มันกำลังจะทำให้กระบวนการของโรคระบาดเข้าขั้นคือเกิดความล้าในระบบให้บริการ ทางสาธารณสุข
ประโยคนึงที่ผมคิดว่าผิดอย่างมากคือการบอกว่า
' ไม่ต้องตื่นตระหนกกับโรคนี้มากนัก โรคนี้ถ้าไปพบหมอแต่เนิ่นๆสามารถตรวจว่าเป็นหรือไม่และหากไปเร็วทันเวลาก็รักษาหายได้ '
ผมนั่งดูข่าวมาสามครั้งในรอบสัปดาห์นี้ ... บอกแบบนี้ทั้งนั้น
และจากคนไข้ที่มาหาเมื่อวานนี้ หลายคนทีเดียว มาเพราะฟังข่าวและได้ยินประโยคนี้ ...
คนที่ฟังเค้าเข้าใจว่า
1. โรคนี้หากไปทันเวลาตั้งแต่ระยะแรกรักษาหายได้ (แปลว่าถ้าไปช้าอาจจะรักษาไม่หาย)
2. โรคนี้หมอสามารถตรวจได้ว่าเป็นหรือไม่เป็นถ้าไปแต่เนิ่นๆ (แปลว่าถ้าไปช้า ตรวจไม่เจอ รักษาไม่ถูก ตาย!)
3. ดังนั้นถ้าทำตามสองข้อบนได้ก็ไม่ต้องตระหนก (แปลว่าถ้าตรูไปหาหมอไม่ได้ก็ตายแหงมๆชิมิ โอ้ว)
...
อาจจะฟังดูงี่เง่านะครับ
แต่ตอนผมฟังข่าวผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
และคนไข้ที่มาตรวจกับผมหลายคนก็รู้สึกอย่างนั้น
และปัญหามันก็เกิดขึ้นเพราะคนที่บอกให้รีบไปตรวจ ดันไม่บอกว่าต้องมีอาการอย่างไรจึงควรไปตรวจ
ดันไม่ยอมศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่าไปแล้วที่โรงพยาบาลจะตรวจอย่างไรรักษาอย่างไร
หรือนักข่าวไปถามหมอ แทนที่จะถามว่า "ควรปฎิบัติตัวอย่างไร" ดันไปถามว่า "โรคนี้อาการอย่างไร" .... (คำถามสิ้นคิด-_-')
สุดท้ายก็ไปป้อนข้อมูลที่ก่อความตื่นตระหนกฝังใจว่า "ถ้าไปทันเวลาก็มีโอกาสหาย"
เมื่อ ไปถึงโรงพยาบาลแล้วปรากฎว่าหมอดูแล้วว่าไม่เข้าเกณฑ์ ... คนไข้ก็เกิดความไม่พอใจเพราะมั่นใจมาเต็มที่ว่าตนเองเป็นชัวร์ๆแต่หมอไม่ ตรวจ
http://breakingnews.nationchannel.com/r … ang=T&cat=
ตัวอย่างข่าวนี้ขนาดคนเป็นหมอเป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุขยังมีความเข้าใจและทัศนคติแบบนี้เลย
ดังนั้นถ้าข่าวออกไปไม่ชัดเจน คนทั่วไปจะเข้าใจผิดขนาดไหน
Last edited by - T o r r e S - (2009-06-16 22:53:53)
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
ก่อนที่จะไปคุยเรื่องการระบาด ก็ต้องมาดูเรื่องความรุนแรงของโรคครับ
ถ้าใครลองไปอ่านของWHO จะพบว่าตอนนี้เค้าประมาณการณ์ว่าครั้งนี้อย่างต่ำๆก็อยู่ในระดับความรุนแรงแบบ Moderate
Moderate คือ
1. คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้หายเองได้ โดยไม่ต้องการการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือการรับการบริการทางสาธารณสุข
2. ระดับความเจ็บป่วยแบบรุนแรงอยู่ในระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล(แม้ว่าบางที่อาจจะมากหน่อย)
3. ระบบการรักษาพยาบาลยังรองรับได้ แม้ว่าจะแน่นไปสักหน่อย
http://www.who.int/csr/disease/swineflu … index.html
รวมไปถึงหลายส่วนที่บอกไว้ว่าส่วนใหญ่หายเอง
ครับ สิ่งที่ผมจะบอกคือไข้หวัดใหญ่และไวรัสหลายชนิดมันมีระดับความรุนแรงของโรคต่างๆกัน
คนที่นอนโรงพยาบาลแบบปางตาย อาจจะมีสัก 3 คน
คนที่นอนโรงพยาบาลแบบมีไข้ให้น้ำเกลือสองสามวัน อาจจะมีสัก 30 คน
คนที่มารพ.ด้วยไข้สูง ตรวจเจอเชื้อ จากนั้นกลับไปกินยาparaกับยาแก้ไอ อาจจะมีสัก 300 คน
คนที่ติดแล้วมีอาการไอ เจ็บคอนิดหน่อย เมื่อยตัวนิดนึง นอนพักคืนเดียวก็หาย อาจจะมีสัก30000คน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็น!
สิ่ง ที่ควรจะเป็นคือเราอยากให้คนที่มีไข้หรือไข้สูงมาตรวจ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะกลายไปเป็นปอดบวม ... ซึ่งหากอาการทำท่าดูไม่ดีเราก็จะได้ให้ยาไปก่อน .... กลุ่มนี้ถ้ามาตรวจอาจจะมีสัก 333 คน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอข่าวอย่างไม่ระวังของหนังสือพิมพ์และข่าวทีวีตอนก่อนหน้านี้คือ
333 คนที่เป็นพอประมาณถึงหนักมารพ.
30000 คนที่เป็นก็มารพ.
อีก 3 แสนคนที่ไม่ได้เป็นหวัด แต่เป็นภูมิแพ้ก็มารพ.
อีก 1 แสนคนเดินผ่านหน้าโรงเรียน เลยมาขอตรวจบ้าง
กลายเป็นว่า คนที่เป็นจริงๆมาที่รพ. ... จากนั้นมีคนที่ไม่เป็นมารับเชื้อถึงที่
กลายเป็นว่า คนที่เป็นแบบเบาๆที่ไม่จำเป็ฯต้องมารพ. ก็มารพ.เพื่อมาปล่อยเชื้อที่โรงพยาบาล
สุดท้ายหมอต้องมานั่งอธิบายคนที่เป็นแค่ภูมิแพ้ว่าไม่ต้องไปตรวจก็ได้ ... แล้วก็ต้องทิ้งให้คนไข้ที่ป่วยจริงนอนรอตรวจต่อไป
... เดี๋ยวปิดท้ายด้วยว่า แล้วจะไปรพ.ตอนไหนดีครับ ....
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
มาถึงจุดที่สำคัญที่สุดที่อยากจะให้ทุกคนทราบครับ
สำหรับตอนนี้มีเกณฑ์ในการตรวจซึ่งหลักใหญ่ๆน่าจะเหมือนกันทั่วประเทศครับ
1. มีไข้ 38 ํC ขึ้นไปร่วมกับ
2. อาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิด ปกติ (หอบ, ลำบาก), หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม
ร่วมกับ
3. อาศัยอยู่หรือเดินทางมาจากพื้นที่ที่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในระยะ 7 วันก่อนวันเริ่มป่วย
4. มีผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ก่อนวันเริ่มป่วย
...
ตอนนี้เข้าใจว่าตัดข้อ 3 ไปแล้วครับ เพราะว่าตอนนี้มันเข้าประเทศไทยเรียบร้อย ดังนั้นอาจจะถือไปก่อนว่าน่าจะเสี่ยงข้อนี้ไปเลย
หากมีเกณฑ์ครบดังนี้ แพทย์จึงจะพิจารณาตรวจ Throat Swab เำพื่อดูว่าเป็นเชื้อนี้หรือไม่
หลัง จากนั้นพิจารณาอาการและความเสี่ยงว่าจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือ ไม่ (ถึงเป็น 2009 แต่ถ้าอาการเบาๆ ก็ไม่ให้ยาต้านเชื้อไวรัส)
เมื่อนำเอาเกณฑ์เหล่านี้มามองใหม่ ผลที่ได้ก็คือ
- การรักษาหรือพิจารณาให้ยาTamiflu ขึ้นกับอาการ ... ต่อให้เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการของปอดบวม ก็จ่ายยาต้านไวรัสและจับนอนโรงพยาบาล
- ถ้าไปรพ.แล้ววัดไข้ได้ 38 ํC มีอาการของหวัดหรือสงสัย และมีอาการปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ ก็จะทำ Throat swab และพิจารณาให้ยาตามสมควร
- ถ้าไปรพ.แล้ววัดไข้ได้ 38 ํC มีอาการของหวัด แต่เป็นแค่คอกับจมูก ไม่มีอาการของปอด ก็มักจะไม่ทำ Throat swab และไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส (แต่วันนี้อาจารย์บางท่านบอกว่าก็ทำได้เหมือนกัน)
- ถ้าไม่มีไข้ .... ไม่ให้ยาและไม่ทำ Throat swab
Throat swab คือการตรวจด้วยไม้พันสำลีป้ายที่คอแล้วเอาไปตรวจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ครับ
แต่ก่อนใช้เวลาวันนึงรู้ผล แต่ตอนนี้มีการตรวจมาก อาจจะสามสี่วันขึ้นไป
ยกตัวอย่าง
- ถ้ามีไข้ต่ำๆตัวรุมๆ เดินไปเดินมาได้สบายดี ... ก็จะได้ยาลดไข้ลดน้ำมูกแก้ไอกลับไปกินที่บ้าน
- ถ้าไม่มีไข้ แต่ไปกินข้าวกับคนที่มีเพื่อนเป็นเด็กเซนต์คาเบรียล หมอก็ไม่ตรวจ
- ถ้าไม่มีไข้เลย แต่ไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อนกับคนที่ไปเดินผ่านที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ... อันนี้ก็ไม่ตรวจ
- เป็นภูมิแพ้ กินยาแก้ภูมิแพ้มาปีกว่า ... ตอนนี้ไม่มีไข้แต่มีน้ำมูลไหลเหมือนทุกวัน วันนี้อยากตรวจหวัด2009 ... อันนี้ก็ไม่ตรวจ
- ไข้สูง38.9 ไอมาก แต่ไม่ได้ไปเจอเด็กนักเรียนที่ไหนเลย ... อันนี้ไม่อยากตรวจก็ต้องตรวจ
เน้นย้ำนะครับ เรื่องไข้ตัวร้อน ... ถ้าคุณไม่มีไข้เลยแม้แต่น้อยและเดินไปเดินมาได้สบายดี ก็ไม่ต้องไปรพ.หรอกครับ
คน ป่วยหนักๆหลายคนเค้าไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัยเพราะว่าเหนื่อย เค้าไอโขลกๆอยู่ ... อยู่บ้านดีๆไม่เจอเชื้อ ดันตามมารับเชื้อที่โรงพยาบาลเชียว ...
ปกติหมออยู่เวรก็ยุ่งกันมากอยู่แล้ว ... ลำพังปกติก็ตรวจกันไม่ทัน
พอ มีคนไข้ที่ให้ประวัติว่าจะเ็ป็น พยาบาลก็ให้ไปรอที่ตึกที่ห่างออกไปอีก400-500เมตร หมอก็ต้องเดินไปซักประวัติ เพื่อจะรู้ว่าจริงๆเป็นแค่ภูมิแพ้ ... แล้วต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมหมอพูดไม่ตรงกับนักข่าวในทีวี เสร็จแล้วเดินกลับมาอีก400-500เมตร เพื่อจะมาฟังพยาบาลบอกอีกว่า "หมอ ส่งอีกคนไปที่ตึกแล้ว หมอเดินไปตรวจหน่อยนะ"
เมื่อวานซืนคุยกับหมอ แผนกเด็กคนหนึ่ง ... เค้าบอกว่าเค้าต้องเดินวนไปวนมาเพื่อตรวจคนที่ถูกคัดกรองมาประมาณ 10-20 คน ... ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีไข้ -_-'
และหมอคนนี้ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง ...
คิดว่าเมื่อวานนี้เค้าคงต้องเดินราวๆ 7-8 กิโลเมตร วนไปวนมาในโรงพยาบาล -_-'
ดังถ้าไม่มีไข้ อยู่บ้านเถอะครับ -_-'
หรือถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรไปหรือไม่
คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงคือ ... ให้ลองลืมๆไปว่าตอนนี้มีไข้หวัดใหญ่ 2009 ครับ...ดูอาการตนเองเป็นหลัก
ถ้าอาการน้อย แบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้แล้วก็กินยานอนอยู่บ้าน ... ก็ไม่ต้องไป
ถ้าอาการเยอะ แบบที่แต่ก่อนพอเป็ฯประมาณนี้ก็จะไปหาหมอ ... ก็ไป
ขอให้โชคดีครับ
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
ปล. บทความทุกบทความ ขอยกเครดิตให้ คุณหมอคนนึง ที่เสียสละเวลามานั่งพืมพ์ให้พวกเราได้อ่านกัน
credit : คุณ หมอแมว ณ พันทิพ
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/ … 77288.html
' ' Bring us to the glory ,
Fernando Torres ~* •
Offline
แต๊งเน้อ ตอนแรกจะเอามาลงเหมือนกัน =w="
Offline
ยาวมากกก ก= =
กว่าจะอ่านจบ เฮือก
Offline
สรุปว่า เราใส่กางเกงสีดำรองเท้าผ้าใบไม่เกี่ยว มันเกีย่วกับ เด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำ ซินะ
yocrab.exteen.com
facebook.com/yocrab
Offline