Suannon Board

You are not logged in.

#1 2008-01-27 11:48:06

GunNz~
สมาชิก
Registered: 2005-10-09
Posts: 3,597

ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

อาจยาวไปนิดครับเเต่ขอร้องอ่านให้จบ...........เศร้าจริง


ผมอ่านเเล้วซึ้งเลย
........................................
โลกของเราเป็นเพียงก้อนดินเล็กๆบนอวกาศที่ไร้จุดจบ แต่หากเทียบกับอุกาบาตลูกนั้นแล้ว มันก็ยังดูใหญ่กว่ามากนัก
กระนั้นเอง จุดสีดำบนท้องฟ้านั้นกำลังสอนให้มนุษย์ชาติบนโลกใบนี้ ได้ใกล้ชิดกับความตายโดยพร้อมเพรียงกัน


ทุกอย่างมันเริ่มมาจากอุกาบาต เส้นผ่าศูน์กลางขนาดใหญ่กว่ารัฐเทกซัสทั้งรัฐโคจรเข้าใกล้โลกอย่างน่าเป็นห่วง
โทรทัศน์ วิทยุทุกช่อง รายงานข่าวถึงเจ้าอุกาบาตก้อนนี้ ติดต่อกันเป็นระยะๆ กลายเป็นกระแสที่ครึกโครมที่สุด

แต่กระนั้นมนุษยชาติเชื่อมั่นเสมอว่า จะมีวีรบุรุษที่ช่วยให้วิกฤตินี้ผ่านพ้นไป
พวกเขาเฝ้ารอ รอใครสักคนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง รอองค์การนาซ่า หรือประเทศผู้นำโลก ใครสักคนที่จะ
ออกมาประกาศแนวทางแห่งความอยู่รอด พวกเขาเชื่อมั่นในศักยภาพและมันสมองของเผ่าพันธุ์ตนเอง

ทว่า นาซ่าออกมาแถลงการถึงข่าวร้าย ข่าวร้ายที่ริดรอนความหวังทั้งหกพันล้าน น้ำตาที่เอ่อล้นนั้นทำให้เราทุกคนรู้ว่า
เราจะไม่มีวีรบุรุษอีกแล้ว ไม่มียานฟรีดอม หรืออินดิเพนเดนท์ ไม่มีการหย่อนนิวเคลียส์เพื่อระเบิดมันทิ้งเหมือนในภาพยนต์ที่เคยดู


นาซ่าได้ให้เวลาเราเพียงสองเดือนที่จะดำเนินชีวิตต่อ....
ช่างน่าขันนักที่ภายในหนึ่งเดือนนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมามากมาย แต่กลับไม่มีโอกาสที่จะเติบโตอีกแล้ว
รากฐานอารยธรรมอันน่าภูมิใจของเผ่าพันธุ์จะพินาศสิ้นในพริบตาที่มันสัมผัสกับผืนแผ่นดิน เป็นการดับสูญสมบูรณ์ที่ไม่มีการเริ่มต้นใหม่



สองเดือนนี้ ผมควรจะทำอะไรดี...



อากาศร้อนจัด... นอกหน้าต่างมองออกไปมีแต่ความเงียบงัน ไกลลิบตามีค่ายทหารเล็กๆตั้งอยู่ ความเงียบนี้อาจเป็นเพราะว่า รัฐพร้อมที่จะ
"ยิง"ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฏอัยการศึกโดยการก้าวออกมานอกบ้าน ภายในห้องเช่าเล็กๆชานเมืองนี้ อาจจะมีคนเหลืออยู่ไม่ถึงสิบครัวเรือน
แน่นอนว่าไม่ใช่คำขู่ ในเมื่อกฏระเบียบและศิลธรรมของสังคมถูกเพิกเฉยเสียแล้ว สิ่งเดียวที่จะหยุดยั้งได้คือความรุนแรง
ทหารเหล่านั้นพร้อมที่จะกระทำการอันเหี้ยมโหดโดยไม่เกรงกลัวในบาป เพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าไม่มีจริงอีกต่อไป


กิจวัตรประจำวันของผมคือ ตื่นเช้าที่สุดเท่าที่"กฏ"จะอำนวยให้ตื่นได้ ในกฏนั้นยังอนุโลมให้ผมเนไปเดินมาที่ระเบียงห้องเช่าได้
แต่ต้องไม่ออกไปไกลกว่ารั้วอาคาร นอกจากนั้นยังอนุญาติให้เราติดตามข่าวสารได้ตามปกติ

หลังจากประกาศกฏอัยการศึก ทุกๆวัน รัฐจะนำอาหารและเครื่องอุปโภคจำเป็นต่างๆมาแจกจ่ายให้เราอย่างเท่าเทียมกัน
เรื่องหนึ่งที่น่าตลกก็คือ ประเทศของเราใช้ระบอบประชาธิปไตย... "เคย" ใช้ระบอบนี้จนถึงเมื่ออาทิตย์ก่อน

เวลาที่ควรจะมีค่ามหาศาล กลับถูกใช้ให้ผ่านไปเรื่อยๆโดยเปล่าประโยชน์ไปกับรายการโทรทัศน์ มีการฉายภาพยนต์ตลก
สลับกับหนังโป๊อย่างโจ่งแจ้งเพื่อให้คนไม่เครียดเกินไปนัก บางช่องก็เชิญชวนให้เข้าร่วมสวดภาวนาเพื่อให้มนุษยชาติผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้

รีโมตที่มือผม ถูกกดเปลี่ยนซ้ำไปซ้ำมา มีรายงานข่าวความไม่สงบที่เกิดขึ้นทั่วโลก

นั่น ดูผู้ประกาศข่าวคนนั้นสิ เธอร้องไห้ออกทีวีอย่างไม่เขินอาย เธอคงรู้ว่าการอ่านข่าวครั้งนี้ คงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอแล้ว ก่อนที่
สถานีโทรทัศน์นี้จะถูกปิดไป น้ำตานั้นทำให้เธอดูแตกต่างจากการรายงานข่าวเมื่อก่อนที่ละม้ายคล้ายกับหุ่นยนต์

เธอดูเป็นมนุษย์มากขึ้นนะ...


เที่ยงตรง บนถนนที่เงียบงัน ห้องข้างๆที่ติดกันมีเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอึกสะอึ้น ซึ่งบางวันก็เป็นเสียงอึกทึกโครมครามเหมือนคนทะเลาะกัน
บางครั้งก็กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะแสบแก้วหู

สถานการณ์เลวร้ายทำให้คนจิตใจแย่ลง อากาศร้อนก็เหมือนสิ่งเร้าที่กระตุ้นความบ้าคลั่งนั้นให้เพิ่มขึ้นไปอีก
ผมพบหน้าเธอทุกวันที่ระเบียง เวลาที่มารับถุงยังชีพ เธอเป็นผู้หญิงสวยระดับหนึ่งเลยทีเดียว ตัดผมสั้นประบ่า ทำไฮไลท์จางๆ
แต่ใบหน้าอมทุกข์ของเธอบ่งบอกถึงสภาพจิตใจอันทรุดโทรมจนยากจะเยียวยา อันที่จริงแทบทุกคนในอาคารนี้ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน
กับเธอ ไม่มีใครพูดจากัน ไม่มองหน้ากัน ไม่สนใจยินดียินร้ายในชีวิตของกันและกัน ทุกคนมีเรื่องให้คิดทั้งนั้น


เสียงร้องไห้ของเธอวันนี้สะเทือนใจผมเป็นพิเศษ จากนั้นก็ตามติดมาด้วยเสียงแก้วแตก และเสียงบางอย่างที่ขูดขีดผนังดังเอี๊ยดอ๊าด
ผมไม่รู้หรอกว่าเธอทำอะไรอยู่ภายในห้องนั้น เพราะเราไม่รู้จักกัน... ที่สำคัญ ผมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะช่วยใครได้
บางทีบนโลกนี้คงไม่มีมนุษย์ที่เต็มใจจะช่วยเหลือซึ่งกันกันเหลืออยู่อีกแล้ว


ในถุงยังชีพที่ได้รับแจกมาทุกวันนั้น นอกจากจะมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นติดมาด้วยแล้วนั้น ยังมีกล่องปริศนาเล็กๆสีขาวแถมมาด้วย...
ในกล่องนั้นมีเข็มฉีดยาขนาดเล็ก ขวดน้ำใสบรรจุของเหลวไร้สีและกระดาษอธิบายการใช้งานแบบคร่าวๆ

สองเดือนสำหรับมนุษย์บางคนนั้นเป็นเวลาที่มีค่า แต่กับมนุษย์ที่หมดสิ้นความหวังและเป้าหมายในการรใช้ชีวิตแล้วนั้น
สองเดือนเป็นเวลาที่ยาวนานและแสนจะทรมานเกินกว่าจะบรรยายได้
ใครที่รู้สึกแบบนั้นอยู่ รัฐก็พร้อมยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาให้รู้สึกสบายไปตลอดกาล กล่องสีขาวนั้นจึงเปรียบเสมือนพระเจ้าของใครบางคน

กล่องสีขาวของผมยังวางอยู่มุมห้อง ผมยังไม่พร้อมที่จะใช้มัน แต่ทว่าสำหรับเธอที่อยู่ข้างๆห้องแล้วกล่องสีขาวจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ถ้าผมลุกขึ้น เดี๋ยวนี้ และเดินเข้าไปห้ามเธอ เธออาจจะกร่นด่าผมที่ทำให้เธอสูญเสียไปซึ่งความตายอย่างสงบเงียบที่สุด
แต่เสี้ยวหนึ่งของจิตใจของผมนั้นไม่อยากให้เธอตาย ทำไมน่ะเหรอ ผมไม่รู้ ผมอาจจะเสียดายเธอ
ผมอาจเห็นเธอเป็นเพียงเครื่องขับดันทางเพศก็ได้ แต่ผมกระโจนออกจากห้องของผมทั้งๆที่หาคำตอบของจิตใจไม่ได้

ประตูห้องของเธอไม่ได้ใส่กลอนไว้ ในห้องที่มืดมิด ม่านทุกตัวปิดกั้นแสงไว้ ผมไม่เห็นเธอ ผมเห็นเพียงกล่องสีขาวที่ภายในว่างเปล่า

อย่านะ... อย่าเพิ่ง...

ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่ง...

แสงไฟลอดออกจากประตูห้องน้ำ ผมเปิดมันออก เห็นเธอกำลังจรดปลายเข็มลงที่ผิวหนัง ผมใช้ไหล่กระแทกเธอจนล้มลงไป
หลอดเข็มฉีดยากระเด็นตกพื้นกับขวดไซยาไนต์ที่แตกกระจาย เธอแน่นิ่งไป ไม่ไหวติง
ร่างของผู้หญิงคนนั้นสงบนิ่งอยู่บนพื้นในชุดกระโปรงสีดำ ผมไม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่เธอสวยเหลือเกิน...

ผมพยายามที่จะดูอาการของเธอ แต่ทว่าใบหน้าของเธอ หน้าอก เอว และกลิ่นแชมพูในห้องน้ำพยายามทำให้ผมความควบสติไม่อยู่
สมองของผมด้านชาไปชั่วขณะ ในขณะเดียวกันมันก็ปลดปล่อยบางอย่างให้ควบคุมร่างกายของผมไป
ผมไม่รู้ตัวว่าผมทำอะไรอยู่ ผมยืนหรือว่านั่ง.. หรือว่ากำลังนอนคร่อมร่างของเธออยู่ มือของผมค่อยๆเลิกเสื้อของเธอขึ้น
เผยให้เห็นเนินอกอันอวบอิ่ม

หยุด...


หยุดนะ...


ไม่ยอมหยุด กระโปรงถูกกระชากออก ร่างกายเปลือยเปล่าของเธอช่างสวยงามน่าหลงไหล เพียงแต่ว่าไม่มีวิญญาณ
คำตอบของความกระตือรือร้นที่จะรั้งชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไว้ เป็นเพียงแค่ความต้องการทางร่างกาย เพื่อสนองต่อแรงขับและตัณหาทางเพศ
ลืมศีลธรรม พร้อมปลดปล่อยสัญชาติญาณไปกับร่างไร้วิญญาณอย่างนั้นเหรอ มึงยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?


กูอาจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ได้ ไม่มีมนุษย์บนโลกนี้อีกแล้ว มีแต่ก้อนเนื้อที่ไร้ศีลธรรมมากมาย กูก็เป็นหนึ่งในนั้นนี่นา
มันจะผิดอะไรนักล่ะ ยังไงกูก็ต้องตาย ยังไงอีนี่ก็ต้องตาย คนบนโลกนี้ต้องตายทั้งหมด โลกนี้มันเฮงซวย ไอ้อุกาบาตเฮงซวย!


ผมโขกหัวตัวเองกับกำแพงห้องน้ำ โขกอีกหลายครั้ง เลือดที่กระเซ็นออกมาจากแผลที่แตกนั้นดึงสติของความเป็นมนุษย์กลับมาอีกครั้ง
ผมมองร่างเปลือยเปล่าของเธอ อกที่ยังกระเพื่อมไปตามลมหายใจเข้าออก หลอดฉีดยาที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยสารพิษสังหาร
เลือดสีแดงสดไหลรินลงมาอาบใบหน้า สีแดงนั้นบอกผมว่า ผมยังคงเป็นมนุษย์อยู่ รวมทั้งเธอด้วย

เลือดสีแดงถูกผสมกับน้ำเกลือจากดวงตาในปริมาณที่เหมาะสม น้ำตาแรกของเดือนที่ไหลไม่ยอมหยุด...


ผมยังไม่อยากตาย... พระเจ้า...


...................................................



เมื่อรูดม่านออกจนหมด แสงสว่างเผยให้เห็นสภาพภายในห้องนั้นที่ดูน่าหดหู่มาก ตุ๊กตาและหมอนที่เหลือเพียงเศษซากของผ้ากับนุ่นที่ปลิวฟุ้ง
ทั้งพื้นและผนังเต็มไปด้วยข้อความที่เขียนระบายความอัดอั้นทั้งหมดทั้งมวลในใจออกมา

ผมพาเธอมานอนบนเตียง เธอไม่ได้ฉีดยาหลอดนั้นเข้าไปในร่างกาย เพียงแต่พยายามจะทำ แต่ก็สลบไปก่อนเพราะความอ่อนเพลียของร่างกาย
ขอบตาที่ดำคล้ำของเธอบอกแบบนั้น

ที่ข้อมือของเธอมีรอยแผลเล็กๆคล้ายมีดบาดนับไม่ถ้วน เธอคงพยายามที่จะฆ่าตัวตายมาหลายวิธีแล้ว
แต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล อาจเป็นเพราะเกิดความกลัวขึ้นมาเสียก่อน รอยมีดจึงบาดผิวหนังเข้าไปเพียงบางๆ
เล็บทั้งสองนิ้วนั้นหักและมีรอยแผล ผมเข้าใจถึงเสียงขูดกับผนังที่ได้ยินอยู่เกือบทุกวัน

ห้องนี้อาจจะเคยเป็นห้องที่ดูสวยงาม แต่เวลานี้กลับกลายเป็นห้องของผู้ที่มีอาการทางจิตอย่างรุนแรง เหมือนกับเธอที่นอนอยู่บนเตียงนี้
เดิมทีก็คงเป็นแค่มนุษย์ธรรรมดาเช่นเดียวกับกับห้อง

ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้ทั่วห้อง รวมถึงในสมุดบันทึกและจดหมายลาตาย

"วันที่x เดือนxx ไปซื้อเสื้อใหม่กับพี่ที่ตัวเมืองมา อยากรู้จังว่าพี่คิดยังไง ถึงยอมออกเงินซื้อเสื้อให้ฉัน"

"วันที่o เดือนox มีข่าวเรื่องอุกกาบาตชนโลก ดูเหมือนคนจะซีเรียสกันน่าดู แต่จะเป็นไปได้ยังไง เรื่องพรรค์นี้มันมีแต่ในหนังล่ะน่า"

หลังจากนี้เป็นหน้าว่างยาวไปจนเกือบท้ายเล่ม

"เสียงปืนดังขึ้น"

ใช่ เสียงปืนดังขึ้นจริงๆเมื่ออ่านถึงข้อความนี้ ดังมาจากค่ายทหาร คงมีทหารคนไหนสักคนยิงมันขึ้นเพื่อระบายความเครียด
และเบนสายตากลับมายังข้อความบนสมุดบันทึกอีกครั้ง ข้อความหลังจากนี้เริ่มส่อเค้าถึงความไม่ปกติทางจิตใจของเธอ

"พี่ทรุดลงไป พี่ทรุดลงไปพร้อมกับเสียงปืน ตั้งแต่วันนั้น พี่ก็ไม่อยู่บ้าน พี่ไม่กลับมา พระเจ้ากระซิบบอกฉันว่าฉันทำตัวไม่ดี"

"พระเจ้ากำลังจ้องมองฉันอยู่ พี่คะ หนูเป็นเด็กไม่ดี... ไม่นะ อย่าทิ้งหนูไป หนูจะทำตัวดีๆ ไม่นะ"

"ต้องตายแล้ว ต้องตาย... พยายามมาหลายครั้งแล้ว พี่กำลังรอฉันอยู่ ครั้งนี้ยังไงก็ต้องตาย"


ผมปิดไดอารี่ของเธอ

โลกที่บัดซบนี้กำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆในอีกไม่ช้า สำหรับคนที่ไม่เคยมีความฝันจริงๆจังๆอย่างผม
อาจจะยอมรับและปลงตกได้ง่ายกว่าคนทั่วไปนัก แต่สำหรับเธอที่เสียทั้งความฝัน และคนในครอบครัวแล้วมันช่างน่ารันทดนัก


เย็นวันนั้น เธอตื่นขึ้นมา คำแรกที่เธอพูดขึ้นคือ "ทำไมฉันยังไม่ตาย" ผมพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง
เธอร้องไห้โอดครวญ ทุบตีผมด้วยความโกรธดังคาด ผมไม่แปลกใจหรอกที่ทำไมเธอถึงโกรธ มันเป็นความผิดผมที่ไม่ยอม
ให้เธอเลือกแม้กระทั่งหนทางตายของตัวเอง

ผมดึงเธอเข้ามากอด กอดแน่นและนานมาก
ผมไม่รู้จักชื่อเธอ เธอไม่รู้จักชื่อผม ผมเป็นแค่คนข้างห้องเธอ และเธอก็เป็นแค่คนข้างห้องผม
ในห้วงเวลานี้ไม่มีคำพูดใดๆมีความหมายมากกว่าการกระทำ ระหว่างเราสองคนไม่มีคำแนะนำตัวใดๆ
บางทีเราทั้งคู่อาจจะรู้ก็ได้ว่ามันไม่จำเป็น ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่จำเป็นอีกต่อไป
เราสองคนกอดกันและร้องให้กันไปตลอดคืนนั้น

ผม โยนเข็มฉีดยานั่นทิ้งไปแล้ว แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าเธอจะคิดฆ่าตัวตายอีกหรือเปล่า ซึ่งถ้าคิด คราวนี้เธอเอาจริงแน่
และง่ายนิดเดียว แค่เธอออกจากอาคารนี้ไปเดินข้างนอก ทหารก็พร้อมที่จะเหนี่ยวไกยิงเธอทิ้งทันที

และเป็นความเห็นแก่ตัวที่สุดของผม ที่ผมไม่อยากให้เธอตาย ผมต้องการเพื่อนต้องการใครซักคนที่จะอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาที่เหลือ
ผมรั้งชีวิตเธอไว้เพียงเพื่อสนองความต้องการส่วนลึกของผมเอง


ผมมันเลว...



ผมนำอาหารกับเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างจากห้องผม ยกเว้น"กล่องสีขาว" มาไว้ที่ห้องนี้ในขณะที่เจ้าของห้องหลับไป
ไม่ใช่ความเต็มใจของเธอแน่นอน และขอย้ำอีกครั้งว่าเธอกับผมไม่เคยรู้จักกันเลยแม้แต่จะรู้จักชื่อ
ในหัวของผมคิดเพียงแค่ว่า เธอต้องไม่ตาย เธอต้องอยู่ต่อไป ฉันไม่อยากตาย ดังนั้นเธอก็ไม่ควรจะตาย

ผมนั่งเฝ้าเธอตลอดทั้งคืน เธอลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกมองมาทางผม แต่ก็ไม่พูดอะไร ในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่าง
ผมกับเธอมองตากันและกัน ผมไม่รู้หรอกว่าในใจของเธอตอนนี้คิดอะไรอยู่ มันไม่ใช่นิยายที่มองตากันก็รู้ใจ
เธออาจจะเกลียดขี้หน้าผมมาก หรือเธอกำลังคิดหาวิธีฆ่าตัวตายใหม่อีกครั้งก็เป็นไปได้

"ทำไม"

"เอ๊ะ?"

จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมา

"ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันตาย"

"เอ่อ... เพราะว่า..."

ผมพูดไม่ออก เพราะคำตอบนั้นคือความเห็นแก่ตัวของผมเอง

"ช่างมันเถอะ"

เธอไม่ถามผมต่อแล้ว ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมอีกครั้ง

"คุณอยู่ที่นี่มานานหรือยัง"

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามเธอกลับบ้าง

"ครึ่งปี"

ครึ่งปี ไม่เคยรู้เลยว่าเธออยู่ข้างห้องผมมาตลอดครึ่งปี
ผมเพิ่งเคยเห็นเธอครั้งแรกก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บางที การเข้าสังคมของผมอาจจะถึงขั้นวิกฤติแล้วก็เป็นได้

"คุณมีพี่ชายด้วยเหรอ?"

เธอพยักหน้าตอบ

"พี่รอฉันอยู่ที่นั่น... แต่เธอกลับไม่ยอมให้ฉันไปหา"

Last edited by GunNz~ (2008-01-27 11:53:35)

Offline

#2 2008-01-27 11:50:55

GunNz~
สมาชิก
Registered: 2005-10-09
Posts: 3,597

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

พี่ของเธอถูกยิงตายไปตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนโดยประมาณ เสียงปืนในคืนนั้นดังสนั่น ผมได้ยิน ทุกคนในละแวกและอาคารนี้ก็ได้ยิน
แต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะกล้า หรือสนใจจะออกไปดูว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้น ข้างนอกนั่น
ไม่มีงานศพ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพพี่ชายเธอ เพราะไม่มีใครสนใจเรื่องความเป็นความตายของคนอื่นเสียแล้ว

เธอไม่ได้เจอพี่ชายอีก

เสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดี ขับกล่อมราตรีนี้ให้เราสองคนเข้าสู่ห้วงนิทรา เร่งวันเวลาให้ผ่านไปเร็วขึ้นอีกนิด
ถึงตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกอยากจะใช้ชีวิตให้มีค่ามากกว่าที่เคยเป็นในปัจจุบัน

สมัยก่อนผมทำตัวเหลวแหลก ทำทุกอย่างที่เป็นเรื่องเลวๆ ยิ่งหลังงานศพพ่อกับแม่ ผมที่เหลือตัวคนเดียวก็เหมือนเสือติดปีก

.....

ถ้าคิดจะกลับตัวตอนนี้ จะยังทันอยู่ไหมนะ...

....

ช่างมันเถอะ... พรุ่งนี้ค่อยคิดก็แล้วกัน

ถ้ายังมีพรุ่งนี้อยู่ล่ะก็นะ

....

บุหรี่ บุหรี่

กี่มวนก็ไม่พอที่จะดับความต้องการนิโคตินของผม
แน่นอนว่าการสูบบุหรี่ติดต่อกันหลายอาทิตย์อาจสร้างภาระอย่างหนักให้ปอดของผม แต่มันก็ไม่อาจทำให้ผมตายได้ภายในระยะเวลาสองเดือน
ที่สำคัญ นี่เป็นซองสุดท้ายในชีวิตแล้ว เพราะมันหาซื้อไม่ได้อีกต่อไป

"เพล้ง"

เสียงแก้วแตก... เป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่จำเป็นต้องสงสัย
ผมเปิดประตู และวิ่งไปเตะเศษแก้วในมือของเธอที่กำลังจะจรดคมลงบนต้นคอทิ้งทันที

วันนี้เป็นครั้งที่สองที่เธอพยายามจะฆ่าตัวตาย
ครั้งแรกเธอพยายามจะกระโดดลงไปจากระเบียงชั้นสามแต่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ก็อีก

"ทำไมถึงต้องทำแบบนี้"

ไม่มีคำตอบจากเธอ มีเพียงเสียงร้องไห้อีกครั้งและอีกครั้ง

"ขอบอกไว้เลยว่า ถึงคุณจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จหรอก"

ผมพูดพลางกวาดเศษแก้วรวมถึงอะไรก็ตามที่เป็นแก้วกับกระเบื้องทั้งหมดในห้องไปโยนทิ้ง


....


เราสองคนนั่งดูโทรทัศน์ยามบ่ายด้วยกัน เพราะถึงแม้ว่าเราจะขังตัวเองอยู่ในห้องแคบๆนี้
แต่เราก็ยังต้องการที่จะรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอกบ้าง

ผมกับเธอนั่งดูหนังโป๊แบบสวิงกิ้ง อยู่ในห้องสองต่อสองชายหญิง

ดาราในหนังเล่นกันได้ถึงพริกถึงขิง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลยราวกับคนเป็นโรคกามตายด้าน
และเธอก็คงไม่รู้สึกว่าถูกคุกคามจากผมสักนิดเช่นเดียวกัน

"คนขวาหน้าอกสวยดีนะ"

"ผู้ชายคนซ้ายดูดีกว่า..."

ผมรู้สึกผิดกับดาราในฟีล์มเหล่านั้น ผมอยากขอโทษพวกเขาที่บังอาจพร่ำวิจารณ์ภาพยนต์ที่พวกเขาตั้งใจเล่น
และกระนั้นเอง ผมก็อยากขอบคุณเช่นเดียวกัน
ที่พวกเขา ทำให้เธอเปิดใจกับผมมากขึ้น แม้จะเพียงนิดเดียว

อาหารของพวกเรามีเพียงขนมปังกับผักแล้วโปรตีนสัตว์อย่างเนื้อตากแห้งเพียงเล็กน้อยท่านั้น
เมื่อเทียบกับปริมาณอาหารที่ได้จากถุงยังชีพในอาทิตย์ก่อนๆ มันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าประเทศของเรากำลังมีปัญหากับการแจกจ่ายทรัพยากรณ์ให้กับประชาชน
ผมไม่แปลกใจเลย ถ้าในเวลาที่เรากำลังกินอาหารมื้อนี้อยู่
จะมีใครบางคนที่กำลังกินในสิ่งที่'ดี'กว่าคนทั่วไป ตามหลักความเหลื่อมล้ำทางสังคม
แต่กระนั้นเอง ก็ไม่ยักจะมีสักคน ที่จะออกมาเรียกร้องความไม่ชอบธรรมนี้

จะตายพราะอดอาหาร หรือตายเพราะอุกาบาต มันก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ

....

กลางคืน เป็นเวลาที่เราสองคนมักจะนอนไม่หลับ

ราวกับเด็กที่อ้อนหานิทานก่อนนอนจากแม่ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นซีดีเก่าๆของผม
ช่วยให้เราจมลึกไปกับนิทราได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ

"อิมเมจินส์"

"รู้จักด้วยเหรอ?"

เธอพยักหน้า และชี้ไปที่กีต้าร์โปร่งที่นอนพิงอยู่ในซอกตู้ เต็มไปด้วยฝุ่นและหยักไย่

"พี่เล่นเพลงนี้ได้"

"จอห์น เลนนอนส์ เป็นคนแต่งเพลงนี้"

"You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one"

เสียงร้องของจอห์น เลนนอนส์ สะท้อนก้องอยู่ในใจของผม จินตนาการ ไม่แบ่งเชื้อชาติ หรือศาสนา ไม่มีพรมแดน
และหากว่าในตอนนี้ มนุษย์จะมีความฝันที่เหมือนๆกันล่ะก็ คงเป็นความฝัน ที่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไป
แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

"สมัยเด็กๆ ผมอยากเป็นนักมวยนะ ตั้งแต่เห็นซิลเวสเตอร์สตอลโลนขึ้นชกครั้งแรกในหนังเรื่องร็อกกี้
แต่พอมีเรื่องชกต่อยกันจริงๆจังๆก็เปลี่ยนความคิดไปเลย ไม่คิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้"

"คุณล่ะ? เคยมีความฝันอะไรในชีวิตบ้างไหม"

เพลงจบแล้ว ในห้องมีแต่เสียงกระดิ่งข้างหน้าต่างที่ปลิวไสวไปตามแรงลม เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด แต่ผมก็ยังรอคอยคำตอบจากเธอ

"เราสองคน อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก... จนพ่อกับแม่แยกทางกัน ฉันกับพี่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านมา"

"ฉันอยากจะเป็นเจ้าสาวที่ดีกว่านี้ แต่มันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว"

นี่เอง เหตุผลที่ทำให้เธอร้องเรียกหาความตายให้กับตัวเองอยู่ร่ำไป เพราะความรักที่มีให้กับพี่ชายมากกว่าคำว่าสายเลือดเดียวกัน
ผมไม่รู้ว่า ท่ามกลางสายตาของสงคมปกตินั้น มองเธออย่างไรบ้าง
และหากว่าพี่เธอไม่ตาย สองเดือนนี้อาจจะเป็นสองเดือนที่มีความสุขที่สุดของเธอก็ได้

สองเดือนที่สังคมไม่สนใจกับความรักผิดศิลธรรมของเธอกับพี่อีกต่อไป

ผมอาจจะรู้ปัญหาของเธอ แต่ผมก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้อยู่ดี เพราะอย่างไรก็ตามผมก็คือผม ไม่สามารถเป็นตัวแทนพี่ชายเธอได้
แต่อย่างไรก็ตาม ความตายก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกที่สุดอยู่ดี ผมไม่ยอมให้เธอตายหรอก
เพราะว่าสองเดือนนี้ มันก็อาจเป็นสองเดือนที่ผมมีความสุขที่สุดเหมือนกัน

เพลงจบแล้ว แต่เวลาที่จะฝันของเราเหลืออีกไม่ถึงสองเดือน


................

ราวสองอาทิตย์ ที่เธอกับผมใช้ชีวิตอยู่ในห้องเดียวกัน ท่ามกลางสถานการณ์ภายนอกที่เลวร้ายขึ้นทุกขณะ
มันอาจไม่ใช่สงคราม แต่ก็เป็นจราจลที่ยากจะต่อต้าน เพราะแกนนำของคนเหล่านั้นคือบุคคลที่สังคมยอมรับให้ถืออาวุธได้อย่างชอบธรรม
นั่นคือทหาร

มนุษย์ที่ฉาบศีลธรรมไว้ที่เปลือกนอก รอเวลาที่คราบที่ฉาบไว้ลอกออกให้เห็นความเน่าเฟะภายใน
ทหารที่ก่อจราจลเหล่านั้นก็คงเปรียบได้กับสังคมที่พิกลพิการรอวันระเบิดออกมา และในที่สุดมันก็ระเบิดขึ้นโดยมีภัยพิบัติอุกาบาตเป็นชนวน
ก่อกำเนิดเป็นลัทธิทำลายล้างที่มีอาวุธเป็นศาสดา

โชคยังดีที่ทหารในประเทศเรา ยังคงตั้งตนอยู่ในมนุษยธรรมอยู่บ้าง หรืออย่างน้อยเปลือกที่ฉาบไว้ก็ยังไม่ลอกออกมา
ผมกังวลในข้อนี้มาก ตั้งแต่วันที่เราได้รู้ว่า โลกภายนอกมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ผมก็ไม่คิดจะปล่อยให้เธอย่างกรายออกไปนอกประตูอีกเลย

ได้แต่หวังไว้ว่า เปลือกศีลธรรมของผมจะแข็งแกร่งพอ...

เราพยายามกินให้น้อยลง และกักตุนอาหารให้มากขึ้น เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ในประเทศที่มีแต่คนรอคอยความช่วยเหลือ
โดยไม่คิดจะสร้างขึ้นมาเองอาหารจะต้องขาดแคลนแน่นอน
แต่โชคยังดีที่อาคารแห่งนี้มีระบบปั่นไฟอัตโนมัติ เรายังมีไฟฟ้าใช้กับตู้เย็นตั้งแต่เจ็ดโมงไปจนถึงสองทุ่ม

คนในอาคารเริ่มดูร่อยหรอลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่ไม่มีใครที่จะออกไปจากอาคารนี้ได้โดยรอดพ้นจากสายตาทหาร
บางครั้งก็รู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นๆลอยมาตามลมบ้างประปราย ขออย่าให้พวกเขาเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย

เพราะว่าออกไปข้างนอกไม่ได้ เธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวัน จ้องมองออกไปข้างนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
แม้ว่าเธอจะสนทนากับผมได้มากขึ้นตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ไม่มีประกายของชีวิตอยู่ในนั้น ผมจนปัญญาแต่ก็ยังหวังว่า อย่างน้อยก็ขอแค่ได้เห็น 'รอยยิ้ม' สักนิดเดียวก็ยังดี

เสียงปืนอีกแล้ว มันออกจะเป็นการลั่นไกที่ไร้ความหมายมากขึ้นทุกทีๆ แม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้ยิงใครก็ตาม
สิ่งผมกังวลที่สุด คือจากการยิงที่ไร้ความหมายนั้น สักวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นการยิงเพื่อสังหารหมู่พวกเราก็เป็นได้
คืนนี้จึงไม่มีเสียงเพลงขับกล่อมอีกต่อไป มีแต่ความเงียบและความวิตก...


........


พวกนั้นเห็นเธอแล้ว...

เป็นความผิดพลาดครั้งเดียวของผมที่ลืมใส่กลอนประตู เช้าวันนั้นเองที่ประตูเปิดอ้า และเธอก็หายไปจากห้อง
ผมรีบออกตามหาเธอ ทุกซอก ทุกมุมของอาคารแต่ก็ไม่พบ เหลือเพียงด้านหลังอาคารเป็นทุ่งหญ้าสูง เป็นที่สุดท้ายที่
จะหลบสายตาทหารเหล่านั้นได้ และผมก็ได้พบกับสันดานอันเลวร้ายที่สุดที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันจะได้พบเห็น

ชาติชั่ว

ศพ ศพ และก็ศพ ที่นี่เป็นกองซากศพขนาดย่อม เป็นสุสานที่ไร้ดินฝังกลบ เป็นหลักฐานความอุบาทว์ที่เดียรัจฉานเหล่านั้นทำกับชีวิต
ของมนุษย์ นี่เองที่มาของกลิ่นเน่านั้น

ที่สำคัญนั้น ผมได้พบกับเธอ กับทหารอีกสามคนที่กำลังทำบางอย่างกับเธอ

พวกนั้นกำลังข่มขืนเธอ

ลงมือกับคนไร้ทางสู้

บนกองซากศพเหล่านั้น โดยไม่มีเสียงร้องให้ช่วยเหลือ

ผมวิ่ง วิ่งเข้าไป เหยียบไปบนร่างที่เน่าเปื่อยของใครสักคน
ผมเตะ ต่อย และหยิบปืนที่คนเหล่านั้นเผลอวางเอาไว้
ผมหันกระบอกปืนใส่ทหารเหล่านั้น และลั่นไกโดยไม่รีรอ ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่จะหยุดตริตรอง ลูกกระสุนพุ่งผ่านร่างของคนเหล่านั้น
ผมเห็นเลือดสาดเป็นฝอย ทหารเหล่านั้นล้มลงไป ผมยังคงไม่หยุด

ยิง ยิง ยิง

ยิงจนกระสุนหมดแมกกาซีน ทหารคนหนึ่งพยายามกระเสือกกระสนคลานหนีเอาชีวิตรอด แม้ว่าจะถูกยิงจนพรุนแล้วก็ตาม
ผมบังคับตัวเองไม่ได้ ผมจับด้านปืน กระแทกพานท้ายไปที่ทหารคนนั้นซ้ำๆจนสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย

นี่หรือคือทหาร นี่หรือคือรั้วของชาติ นี่หรือคือสัตว์ประเสริฐ
สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อล้างเผ่าพันธุ์ตัวเอง
คนเหล่านี้สมควรตาย

ผมก้าวผ่านมาแล้ว ความเลวอย่างสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะทำได้ นั่นคือการเข่นฆ่ามนุษย์ร่วมเผ่าพันธุ์ดียวกัน

มือทั้งสองแปดเปื้อน

ผมฆ่าพวกมันทั้งสามคนอย่างไร้ความปราณี และไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในมโนสำนึกเลยสักนิดเดียว

เธอนอนอยู่บนกองซากศพ เปลือยเปล่า เสื้อผ้าถูกฉีกขาด ผิวสีขาวอาบไปด้วยเลือดสีแดงจากทหารเหล่านั้น
เธอไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตา ในมือของเธอกุมอะไรบางอย่างเอาไว้ ผมง้างมือเธอออกและรู้ว่ามันคือแหวน
แหวนเงินที่เหมือนกับที่นิวนางข้างซ้ายของเธอ มันเป็นแหวนของพี่ชายเธอ

พี่ชายของเธออยู่ที่นี่ ในกองซากศพนี้ สักคนหนึ่ง...
นี่คือเหตุผลที่เธอไม่ร้องไห้ เพราะเธอไม่รู้จะร้องไปเพื่อใครอีกแล้ว

แต่ผมกลับร้องไห้ให้กับเธอ ให้กับคนเหล่านี้ ร้องไห้ให้กับโลกที่เน่าเฟะเกินเยียวยา

ขอภาวนาให้อุกาบาตลงมาทำลายมันให้สิ้น...


.............


พวกทหารกำลังตามล่าเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครทำ แต่พวกเขาจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในนี้
เสียงประตูถูกพังออก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย เราสองคนซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงของอีกห้องหนึ่ง
ห้องเก่าของผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่น และหวังว่าพวกมันจะค้นมาไม่ถึงห้องนี้

แต่ความหวังก็ผมกำลังริบหรี่ลง เมื่อประตูห้องถูกพังเข้ามา
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้เตียงทุกขณะ ผมกอดเธอแน่นในวาระสุดท้ายของชีวิตผมและเธอ

"ห้องนี้ห้องร้างนี่ ไปต่อไป!"

ฝีเท้านั้นค่อยๆห่างเราออกไปเรื่อยๆพร้อมกับเสียงของใครบางคนที่สั่งให้ออกไป
ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ดูเหมือนว่าฝุ่นในห้องของผมจะช่วยเราสองคนเอาไว้แบบเหลือเชื่อ
ผมไม่เคยรู้สึกโล่งใจขนาดนี้มาก่อนเลย ผมควรขอบคุณฝุ่น และไม่คิดจะปัดกวาดเดถูห้องอีกตลอดชีวิต

แต่ทหารเหล่านั้นก็ทำให้เรารู้สึกหมดศรัทธาในโลก พวกเขาเกณฑ์คนในอาคารให้มารวมกันที่ด้านหน้า
และจัดแจงให้ทุกคนยืนเรียงกันเป็นระเบียบ

เสียงปืนดังต่อเนื่อง ผมไม่จำเป็นต้องออกไปดูก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาที่ต้องมารับเคราะห์แทนผม
เธอดูเหมือนตุ๊กตาก็ไม่ปาน ในขณะที่เสียงปืนดังก้องไปทั่ว เธอกลับไม่รู้สึกตกใจสักนิด

เธอตายอย่างสมบูรณ์ ผมช่วยเธอไม่ได้อีกแล้ว...

..........

ผมจุดไฟแช็คด้วยมือที่สั่นเทิ้ม บุหรี่มวนสุดท้ายถูกจุดขึ้นในห้องนั้น

ฝนตกลงมาราวกับว่าจะร้องไห้ให้กับคนที่ตายไป หรือไม่ มันก็อาจจะเป็นน้ำตาของคนเหล่านั้นก็ได้
ความเจ็บปวดในขณะที่ถูกยิง กระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อรอดชีวิต สุดท้ายคนเหล่านั้นคือแพะที่รับบาปแทนผม

แหวนสีเงินของพี่ชาย ผมนำมาสวมไว้ที่นิ้วมือตัวเองโดยไม่ขออณุญาติเจ้าของ
เผื่อว่าแหวนนี้ มันจะทำให้ผมกลายเป็นพี่ชายเธอขึ้นมาได้บ้าง
ผมรู้สึกอิจฉาจริงๆ
อิจฉาที่เธอรักเขาหมดใจ ในขณะที่วันเวลาที่ผมทุ่มเทให้กับเธอ ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
อย่างที่บอกนั่นแหละว่าไม่มีทางที่ผมกับพี่เธอจะกลายเป็นคนๆเดียวกันได้

เธอยังคงนอนอยู่บนพื้น นอนราบอยู่ในท่าที่ไร้ความหมาย ขาข้างหนึ่งพาดขอบเตียง แขนอีกข้างกุมท้องไว้
ผมเป็นคนจัดเธอให้นอนท่านั้น ช่างน่าตลกจริงๆ เหมือนกำลังเล่นตุ๊กตาอยู่ นี่มันไม่ใช่คนนี่นา เป็นแค่ตุ๊กตา...

ผมดึงกล่องสีขาวออกมาจากตู้ ผมลืมมันไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อครู่นี้
เข็มค่อยๆแทงเข้าไปในขวดไซยาไนต์ ดูดสารพิษขึ้นมาจนเต็มหลอด

ผมดึงแขนข้างหนึ่งของเธอมาวางไว้บนตักของผม พร้อมกับจรดปลายเข็มไปที่ข้อมือเธอ

หลายๆครั้งที่เธออ้อนวอนของความตายจากผม

.....

และหลายๆครั้งที่ผมพรากความตายไปจากเธอ

.....

เธอคงยินดีที่จะให้ผมเป็นคนลงมือเอง ไม่สิ เธอคงไม่คิดอะไรเลยมากกว่า

เป็นการฆ่าที่ปราณี เป็นความตายที่รวดเร็ว สุดท้ายชีวิตของเธอก็ขึ้นอยู่กับผม
มือยังคงสั่นอยู่ และสั่นมากขึ้น

ผมใช้อีกมือหนึ่งจับแขนให้มั่น สูดลมหายใจเต็มปอด และตัดสินใจเด็ดขาด

...........

หลอดฉีดยาแตกออก ผมขว้างมันทิ้งกับมือ

จะไม่มีความตายเกิดขึ้นอีกแล้ว เป็นการเอาแต่ใจตัวเองครั้งสุดท้ายของผม
อย่างไรก็ตาม เธอจะต้องไม่ตาย เธอกับผมจะต้องอยู่ดูวาระสุดท้ายกับโลกพร้อมกัน
ผมไม่ยอมให้เธอตาย

"เราต้องหนี"

ผมพูดกับเธอ หรือพูดกับตัวเองก็ไม่รู้
ู้
"หนีไปจากที่นี่ ไปให้ไกลที่

Last edited by GunNz~ (2008-01-27 17:03:58)

Offline

#3 2008-01-27 11:55:43

GunNz~
สมาชิก
Registered: 2005-10-09
Posts: 3,597

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ใช่ หนีไปจากที่นี่ หนีตัวเอง หนีความจริง และอยู่กับความฝัน

...........

คืนที่ฝนตก เป็นโอกาสดีที่เราจะหนีออกไปโดยไม่ให้ใครเห็น ผมไม่รู้ว่าทหารพวกนั้นจะเชื่อว่าพวกเราอยู่ในกลุ่มคน
ที่พวกเขาสังหารหมู่ในคราวนั้นหรือไม่

ผมอุ้มเธอไปยังทุ่งด้านหลัง จนถึงกองศพที่ดูจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีก เป็นศพใหม่ๆที่ยังไม่เน่าเปื่อย
ดูทีไรก็น่าสะอิดสะเอียนระคนกับความน่าเวทนา ผมเดินเลาะไปด้านข้าง พยายามที่จะไม่เหยียบย่ำบนตัวพวกเขา
เป็นการแสดงความเคารพที่สะดวกที่สุดในตอนนี้

ถัดจากทุ่งกว้างนี้ไปประมาณห้าสามร้อยเมตรจะเป็นฟาร์มปศุสัตว์เล็กๆที่พอมองเห็นได้จากตรงนี้
ที่นั่นน่าจะมีพาหนะที่จะนำเราออกไปจากบริเวณนี้ได้ไกล
แต่ปัญหามีเพียงถ้าเดินออกไปอีกเพียงนิดเดียว มุมตึกจะไม่ช่วยบังเราอีกแล้ว
และค่ายทหารนั้นก็สาดไฟจากสปอร์ตไลท์ไปทั่วบริเวณทุ่ง

โอกาสถูกพบตัวมีสูงมาก แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะกลัว เพราะอย่างไรก็ตามการอยู่ที่นี่ก็เสี่ยงเช่นเดียวกัน
ผมจูงมือเธอและออกวิ่ง

มันเป็นการวิ่งที่เหนื่อยยาก ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ ดินโคลนที่ชุ่มแฉะ และสายตาของทหารทุกคู่
ผมได้แต่วิ่งๆๆ คิดเพียงว่า หากรอดไปได้ ผมจะทำอะไรต่อไปดี
อย่างไรก็ตามเราก็ต้องตาย แต่ผมต้องการมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็วันนี้

เสียงปืน

ยิงมาจากที่ไหนไม่รู้

พวกเขาเห็นเราแล้ว และกำลังระดมยิงกระสุนมา

อีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะถึงที่หมาย
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว

มือของเราสองคนหลุดออกจากกัน

ลูกปืนฝังเข้าที่น่องซ้ายของผม ส่วนเธอล้มลงไป
ผมมองไม่เห็นว่าเธอถูกยิงที่ไหน สายฝนโปรยปราย เลือดนองเต็มพื้น เธอยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง

ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงฝน
ผมได้ยินเสียงเป่าปาก ผมได้ยินเสียงทหารเหล่านั้นหัวเราะ คนเหล่านั้นกำลังมีความสุขที่มองเราสองคนเป็นสัตว์ที่โดนล่า

มาได้แค่นี้เองเหรอ

สุดท้ายความตั้งใจของผมก็ไม่อาจจะบรรลุได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
สติของผมค่อยๆเลือนลาง ในดวงตาของผมเต็มไปด้วยน้ำ

ผมพยายามรวบรวมแรงดึงตัวเองเข้าไปใกล้ๆเธอ

อย่างน้อย อย่างน้อยก็ขอแค่ได้สัมผัสมือ

มือของเธอยังคงอุ่นอยู่ แม้สายฝนจะนำมาซึ่งความหนาวเย็น
ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย

ภาพสุดท้ายคือใบหน้าเธอ
ผมเห็นรอยยิ้มที่มุมปาก

สุดท้ายแล้ว ผมกับเธอก็ไม่เคยรู้จักชื่อจริงของกันและกัน
เธอเป็นคนข้างห้องของผม และผมเป็นคนข้างห้องของเธอ

สุดท้ายแล้วเราสองคนก็ไม่ได้ตายเพราะอุกาบาต ไม่ได้ตายเพราะยาพิษ
แต่เพราะเงื้อมมือของสิ่งมีชีวิตที่บอกกับตัวเองว่าอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง แต่กลับพ่ายแพ้ธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง

สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์

และ... คำพูดสุดท้ายของเธอ เรียกผมว่า

"พี่ชาย"

.......................................


End...

Offline

#4 2008-01-27 17:01:18

GunNz~
สมาชิก
Registered: 2005-10-09
Posts: 3,597

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

มันจะมีคนอ่านจบมั๊ยเนี่ย - -*

Offline

#5 2008-01-27 18:26:42

Pon-poN...
สมาชิก
Registered: 2007-08-31
Posts: 11

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ก็ซึ้งดีอ่ะ แต่งงๆอ่ะคับ -*- ทำไมทหารต้องยิงคนที่ออกนอกบ้าน ไร้เหตุผลมาก


อันบุหรี่ซองงามนาม กรองทิพย์
พวกเราหยิบแต่ LM และ สายฝน
มาโบโร่หยิบไม่ได้เพราะเราจน
ต้องจำทนม้วนยาเส้นเช่นพ่อเรา

Offline

#6 2008-01-27 19:25:08

MiyaCatZ
ผู้ดูแลบอร์ด
From: OSKN 605#27
Registered: 2006-05-09
Posts: 3,856
Website

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ถ้าโลกใกล้ถึงกลาลอวสาน อย่าให้มันเป็นแบบนั้นเลย - -

น่ากลัวมากๆ


*She's Miyacatz :: ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ หัวใจก็ยังคงเหมือนวันเก่าๆ ที่เคยอยู่เสมอ XD
  สถานะ :: ❤ หนุ่มแว่นค่ะ.....

Offline

#7 2008-01-27 20:01:37

godome
สมาชิก
From: ดาดฟ้า
Registered: 2006-03-03
Posts: 6,035

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

หนังฝรั่งสินะ


SKN#28 NO.18428 17/05/2004 - 22/02/2010

Offline

#8 2008-01-27 20:52:34

Black Amethos
สมาชิก
From: H.E.A.V.E.N.
Registered: 2007-09-17
Posts: 284

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ซึ้งสุดๆเลยล่ะ T T

Offline

#9 2008-01-28 19:25:29

GunNz~
สมาชิก
Registered: 2005-10-09
Posts: 3,597

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ไม่ได้มาจาก หนัง ฝรั่ง
เอามาจาก เวปบอล ซึ่งเค้าบอกว่า เอามาจาก ฟอร์เวิรดเมล์

Offline

#10 2008-01-29 20:30:18

Zee
สมาชิก
From: SKN#29 305 >> 603
Registered: 2006-01-04
Posts: 953
Website

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

โหย ซึ้ง !

ถ้าเกิดเป็นอย่างในเรื่องนี้ขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย

น่ากลัวอะ  > w <


Girls' Generation

Offline

#11 2008-01-29 20:32:10

LagooNz
สมาชิก
Registered: 2006-08-08
Posts: 3,631

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

อ่านจบ

แบบ ปวดตาไปเลย

Offline

#12 2008-02-02 16:25:15

Gale
สมาชิก
Registered: 2007-10-13
Posts: 56

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

............แล้วหลังจากนั้นนาซ่าก็มาเฉลยว่าความจริงแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อจำลองสถาณการณ์ และวันที่นาซ่าประกาศก็ตรงกับวันที่1เมษา..............จบ............................

Offline

#13 2008-02-02 19:45:58

alonz
สมาชิก
Registered: 2007-12-18
Posts: 165

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

2 ชาติผ่านไป
ยังอ่านไม่จบ-*-

Offline

#14 2008-02-02 19:49:18

godome
สมาชิก
From: ดาดฟ้า
Registered: 2006-03-03
Posts: 6,035

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

หมายถึงว่ามันเป็นเรื่องของฝรั่งสินะ

หรือว่าเป็นคนไทยวะ


SKN#28 NO.18428 17/05/2004 - 22/02/2010

Offline

#15 2008-02-02 21:02:43

เป็ดน้อย
สมาชิก
Registered: 2007-08-19
Posts: 113

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

แล้วมนุษย์จะมีหัวใจไปทำไมกัน
แต่เพลงimagineได้ใจจริงๆแหละ

น่าสงสารแหะ

Offline

#16 2008-02-03 13:13:57

MiyaCatZ
ผู้ดูแลบอร์ด
From: OSKN 605#27
Registered: 2006-05-09
Posts: 3,856
Website

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

Gale wrote:

............แล้วหลังจากนั้นนาซ่าก็มาเฉลยว่าความจริงแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อจำลองสถาณการณ์ และวันที่นาซ่าประกาศก็ตรงกับวันที่1เมษา..............จบ............................

ถ้าเป็นงั้นคงโหดร้ายเนอะ -*- ตายไปหลายชีวิตละเพิ่งมาบอก ฮ่วยยย

แต่เมื่อคืนฝันแปลกมาก ฝันว่ากรุงเทพฯโดนคลื่นยักษ์มากๆ ซัดเข้ามา ยังกะหนัง The day after tomorrow เลยอ่ะ -*-

(มีหิมะตกด้วยแน่ะ lol กรี๊ดดดด หนาวสมจริงมาก)

รู้สึกฝันถึงหนังเรื่อง six sense อีกด้วยอ่ะ จะบร้าาา ไม่ได้ดูสองเรื่องนี้มาเป็นชาติละ ไม่ได้นึกถึงด้วยนะ


*She's Miyacatz :: ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ หัวใจก็ยังคงเหมือนวันเก่าๆ ที่เคยอยู่เสมอ XD
  สถานะ :: ❤ หนุ่มแว่นค่ะ.....

Offline

#17 2008-02-09 08:27:14

ChiBiKuMaYuKiTo
สมาชิก
Registered: 2007-05-18
Posts: 30

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

ซึ้งดีจังเลย

ว่าแต่ทหารมันโหดเหี้ยมไปหน่อยละมั้ง


livegamespromosign01.jpg

Offline

#18 2008-02-26 18:28:09

Shorn
สมาชิก
From: มธ.หอในอ่ะ
Registered: 2007-09-11
Posts: 187
Website

Re: ซึ้งมากครับลองอ่านดูู

พึ่งจะมาอ่าน ซึ้งจริง ๆ ด้วยครับ ชอบตอนจบมาก ๆ เลย ถ้ามีอีกอย่าลืมเอามาลงให้ด้วยนะครับ

Offline

Board footer

Powered by FluxBB